วันเสาร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2560

สถาปนิกจะมีโอกาสแสดงบทบาทและเป็นที่ต้องการของผู้บริหารกรุงเทพมหานครเมื่อใด

ปัญหาทัศนอุจาด ความไร้ทิศทาง การขาดความศิวิไลซ์ ของมหานครอย่างกรุงเทพประการสำคัญประการหนึ่ง คือ ความไม่มี Class ของผู้มีอำนาจในการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ กรุงเทพมหานครมีบุคลากรที่มีศักยภาพมากมายแต่ผู้ถืออำนาจกลับใช้ไม่เป็นซ้ำยังเห็นว่าไร้ประโยชน์ ผมกำลังพูดถึงบทบาทในการขับเคลื่อนสังคมของสถาปนิก เครื่อง computer จะคุณภาพดีเพียงใด มีคุณอนันต์แค่ไหน หากผู้ใช้ใช้งานไม่เป็น ความไร้ประโยชน์หาเป็นที่ตัว computer ไม่ แต่อยู่ที่ใครนั้นน่าขบคิด


ยุค Modern ทำให้บทบาทและคุณค่าของสถาปนิกเจือจางไป เมื่อคุณค่าของงานสถาปัตยกรรมถูกเรียกร้องแค่เพียง Function และอรรถประโยชน์สูงสุด Mass product การผลิตจำนวนมาก ๆ ในราคาประหยัด ความงาม ความสุนทรีย์ การสนองทางอารมณ์เป็นเพียงเรื่องที่ถูกมองว่าฟุ่มเฟือย เป็นเรื่อง ยุค Classic ในวันวาน รากศัพท์ของ Classic มาจาก Class เป็นเรื่องของชนชั้น มีแต่รสนิยมของชนชั้นสูงและมีการศึกษาเท่านั้นจึงจะ Classic ลูกชิ้นปิ้ง ปลาร้า ปลาแจ่ว ไม่มีทาง Classic ได้ เมื่อผู้มีอำนาจยังนิยมปลาร้า ปลาแจ่ว ลูกชิ้นปิ้งริมทาง มี Vision ระดับ Human need ที่ตามแนวคิด Maslow's Hierarchy of Needs เพียงชั้น Basic need คือ แค่พอปากอิ่ม ห่มอุ่น น้ำไหล ไฟสว่าง ถนนหนทางพอรถวิ่งไปมาได้ อาคารก่ออิฐฉาบปูนพอคุ้มแดดคุ้มฝน เป็นความฝันของประเทศล้าหลังกำลังพัฒนา เช่นนี้ มุมมองของผู้มีอำนาจย่อมเห็นว่ามหานครอย่างกรุงเทพก็ยังไม่จำเป็นต้องใช้สถาปนิกในการพัฒนาเมือง มืออาชีพยังไม่มีความจำเป็น อุปมาดั่งคนป่าได้ปืน ฉันนั้น กระทั่งวันหนึ่ง ถึงเวลาที่ผู้มีอำนาจเริ่มมี Class ความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ไม่เพียงพออีกต่อไป ผู้มีอำนาจและประชาสังคมจะเริ่มเรียกร้องความต้องการทางใจ ทางอารมณ์ ความสุนทรีย์ ความศิวิไลซ์ ชั้น Psychological need ณ เวลานั้น สถาปนิกจะถูกเรียกร้องให้ออกมารับใช้สังคมเอง

วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2559

เรื่องที่ ๕ การขออนุญาตก่อสร้างอาคารพักอาศัยต้องมีที่ว่างไม่น้อยกว่าร้อยละ ๓๐ ของที่ดินจริงหรือ?

กล่าวถึงข้อบกพร่องประการสำคัญของเจ้าหน้าที่รัฐประการหนึ่ง คือ การถือปฏิบัติตาม ๆ กัน เข้าใจตาม ๆ กันว่า เมื่อมีผู้หนึ่งถือปฏิบัติแล้ว หรือดำเนินการแล้ว น่าจะชอบที่จะถือปฏิบัติตามโดยไม่พยายามหาข้อมูลในเรื่องนั้นจากชั้นปฐมภูมิ 

ประกอบกับความเข้าใจว่าคำสั่งให้ถือปฏิบัติภายในหน่วยงานเสมอเป็นกฎหมาย ซึ่งข้อเท็จจริงคำสั่งภายในที่ให้เจ้าหน้าที่รัฐถือปฏิบัตินั้น ไม่สามารถนำไปใช้บังคับกับประชาชนได้ ประชาชนไม่จำเป็นต้องเห็นพ้องด้วยกับแนวทางปฏิบัติของหน่วยงานราชการ

เหตุผลที่เจ้าหน้าที่รัฐโดยมากมักจะปฏิบัติราชการเช่นนั้น เห็นว่า เพราะ 
๑) เป็นการง่ายในการทำงาน
๒) ข้อจำกัดด้านระยะเวลาดำเนินการ 
๓) ขาดความรู้ความเข้าใจในกฎหมาย

การปฏิบัติราชการเช่นที่กล่าวมาข้างต้นอาจเพียงพอจะถือปฏิบัติได้ในระบบราชการยุคเก่า เพราะ 
๑) ระบบการตรวจสอบมีไม่มากนัก 
๒) การเข้าถึงแหล่งข้อมูลเป็นเรื่องยาก 
๓) ประชาชนขาดการศึกษาและไม่มีความรู้ 
๔) ระบบการสื่อสารจำกัด

แต่การดำเนินกิจการภาครัฐสมัยใหม่มิใช่เรื่องง่ายสำหรับข้าราชการเช่นกาลอดีต เนื่องจาก 
๑) มีระบบการตรวจสอบหลายชั้น 
๒) การเข้าถึงข้อมูลเป็นเรื่องง่าย 
๓) ประชาชนเข้าถึงระบบการศึกษาและมีความรู้ความเข้าใจในสิทธิของตนเป็นอย่างดี 
๔) ระบบการสื่อสารเป็นไปอย่างรวดเร็วและกระจายสู่สังคมในวงกว้างได้ง่าย

ในการนี้ จะขอยกตัวอย่างสักประเด็นหนึ่ง

กรณีการขออนุญาตก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร บ่อยครั้งเมื่อสถาปนิกจัดทำแบบแปลนอาคารเพื่อยื่นขออนุญาตก่อสร้างที่สำนักงานเขต ปรากฏว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายโยธามักจะให้คำแนะนำหรือข้อท้วงติงว่า หากประสงค์จะก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารอยู่อาศัยต้องมีพื้นที่ว่างไม่น้อยว่า ๓๐ เปอร์เซ็นต์ มิเช่นนั้นจะอนุญาตไม่ได้  เพราะกฎหมายกำหนดไว้

ข้อเท็จจริงกฎหมายกำหนดไว้เช่นนั้นจริงหรือ?

ข้อกฎหมาย
ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๔๔
ข้อ ๕๒ อาคารแต่ละหลังหรือหน่วยต้องมีที่ว่างตามที่กำหนด ดังต่อไปนี้ (๑) อาคารอยู่อาศัย ต้องมีที่ว่างไม่น้อยกว่า ๓๐ ใน ๑๐๐ ส่วนของพื้นที่ที่ดิน
เมื่อพิจารณาจากข้อบัญญัติท้องถิ่นแล้วกฎหมายกำหนดไว้จริงดังเช่นที่เจ้าหน้าที่แจ้ง

แต่เนื่องจาก กฎกระทรวง ฉบับที่ ๕๕ (พ.ศ. ๒๕๔๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ข้อ ๓๓ กำหนดว่า:-
อาคารแต่ละหลังหรือหน่วยต้องมีที่ว่าง[1]ตามที่กำหนดดังต่อไปนี้ (๑) อาคารอยู่อาศัย[2] และอาคารอยู่อาศัยรวม[3] ต้องมีที่ว่างไม่น้อยกว่า ๓๐ ใน ๑๐๐ ส่วนของพื้นที่ชั้นใดชั้นหนึ่งที่มากที่สุดของอาคาร
พิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่า ข้อบัญญัติท้องถิ่นกับกฎกระทรวงมีข้อความซึ่งไม่สอดคล้องต้องกัน หรือหากว่าตามภาษากฎหมายก็ต้องว่า 'ไม่เจือสมกัน' คือ กฎหมายท้องถิ่นกำหนดให้ต้องมีที่ว่างไม่น้อยกว่า ๓๐% ของพื้นที่ดิน แต่กฎกระทรวงกำหนดให้ต้องมีที่ว่างไม่น้อยกว่า ๓๐% ของพื้นที่ชั้นใดชั้นหนึ่งที่มากที่สุดของอาคาร

ซึ่งในส่วนนี้มีผลต่อการออกแบบอาคาร

ตัวอย่างเช่น
มีที่ดินแปลงหนึ่งขนาด ๑๐๐ ตารางวา ถ้ายึดตามข้อบัญญัติฯ จะก่อสร้างอาคารโดยมีส่วนปราศจากหลังคาหรือส่วนปกคลุมพื้นดินได้ไม่เกิน ๗๐ ตารางวา เพราะต้องปล่อยให้มีที่ว่างตามกฎหมายไว้ไม่น้อยกว่า ๓๐ ตารางวา แต่หากยึดตามกฎกระทรวงฯ แม้จะก่อสร้างอาคารให้มีพื้นอาคารชั้นที่มากสุดถึง ๗๖ ตารางวาก็สามารถกระทำได้ เนื่องจากร้อยละ ๓๐ ของ ๗๖ ตารางวาเท่ากับ ๒๒.๘ ตารางวาเท่านั้น

ประเด็นคือ แล้วจะอ้างอิงจากตัวบทกฎหมายฉบับใด

เพื่อให้ได้ข้อยุติสมควรต้องพิจารณาจากกฎหมายแม่บทว่าบัญญัติไว้เป็นประการใด
พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร ๒๕๒๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕
มาตรา ๙ ในกรณีที่ได้มีการออกกฎกระทรวงกำหนดเรื่องใดตามมาตรา ๘ แล้ว ให้ราชการส่วนท้องถิ่นถือปฏิบัติตามกฎกระทรวงนั้น เว้นแต่เป็นกรณีตามมาตรา ๑๐
องค์ประกอบมาตรา ๙
๑) ในกรณีที่ได้มีการออกกฎกระทรวง
๒) กำหนดเรื่องใด
๓) ตามมาตรา ๘ แล้ว
๔) ให้ราชการส่วนท้องถิ่น
๕) ถือปฏิบัติตามกฎกระทรวงนั้น
๖) เว้นแต่เป็นกรณีตามมาตรา ๑๐

จะเห็นได้ว่าประเด็นเรื่อง “ที่ว่าง” ถูกกำหนดไว้ตามมาตรา ๘ แล้วในกฎกระทรวงฉบับที่ ๕๕ ข้อ ๓๓ ซึ่งใช้บังคับเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๓ ดังนั้น กรณีปกติราชการส่วนท้องถิ่นต้องถือปฏิบัติตามกฎกระทรวงฯ

แต่เนื่องจากกรุงเทพมหานครมีการออกข้อบัญญัติฯ เรื่อง “ที่ว่าง” ในปี พ.ศ. ๒๕๔๔ ภายหลังกฎกระทรวงใช้บังคับ ซึ่งสามารถกระทำได้ตาม มาตรา ๑๐

ดังนั้น จึงต้องพิจารณาบทบัญญัติใน มาตรา ๑๐ ต่อไป
มาตรา ๑๐ ในกรณีที่ได้มีการออกกฎกระทรวงกำหนดเรื่องใดตามมาตรา ๘ แล้วให้ราชการส่วนท้องถิ่นมีอำนาจออกข้อบัญญัติท้องถิ่นในเรื่องนั้นได้ในกรณี ดังต่อไปนี้ (๑)[4] เป็นการออกข้อบัญญัติท้องถิ่นกำหนดรายละเอียดในเรื่องนั้นเพิ่มเติมจากที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงโดยไม่ขัดหรือแย้งกับกฎกระทรวงดังกล่าว
องค์ประกอบมาตรา ๑๐
๑) ในกรณีที่ได้มีการออกกฎกระทรวง
๒) กำหนดเรื่องใด
๓) ตามมาตรา ๘ แล้ว
๔) ให้ราชการส่วนท้องถิ่น
๕) มีอำนาจออกข้อบัญญัติท้องถิ่นในเรื่องนั้นได้
๖) ในกรณี ดังต่อไปนี้
๗) (๑) เป็นการออกข้อบัญญัติท้องถิ่น
๘) กำหนดรายละเอียดในเรื่องนั้น
๙) เพิ่มเติม
๑๐) จากที่กำหนดไว้
๑๑) ในกฎกระทรวง
๑๒) โดยไม่ขัดหรือแย้ง
๑๓) กับกฎกระทรวงดังกล่าว

พิจารณาตามมาตรา ๑๐ แล้วมีประเด็นต้องพิจารณาว่าข้อบัญญัติฯ “ขัดหรือแย้ง” กับกฎกระทรวงฯ หรือไม่ หากไม่ขัดหรือแย้ง ก็ต้องยึดตามข้อบัญญัติฯ แต่ หากขัดหรือแย้ง ก็ต้องยึดตามกฎกระทรวงฯ เนื่องจากเป็นกรณีที่ราชการส่วนท้องถิ่นออกกฎหมายมาใช้บังคับกับประชาชนโดยกฎหมายมิได้ให้อำนาจไว้ขัดต่อหลักนิติรัฐโดยแท้

พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้นิยามไว้ว่า
ขัด หมายถึง ไม่ทำตาม, ฝ่าฝืน ; แย้ง หมายถึง ไม่ตรงหรือลงรอยเดียวกัน
จะเห็นได้ว่า ข้อบัญญัติฯ ที่กำหนดเพิ่มเติมจากกฎกระทรวงฯ นั้น มิได้ฝ่าฝืนกฎกระทรวงฯ จึงไม่ขัด แต่ไม่ตรงกับกฎกระทรวงฯ จึงแย้ง เมื่อข้อบัญญัติฯ แย้งกับกฎกระทรวงฯ ดังนั้น จึงเป็นการออกกฎหมายโดยมิชอบ ประเด็นเรื่องที่ว่าง จึงสมควรต้องยึดตามกฎกระทรวงฯ เป็นหลัก

อาศัยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่กล่าวมาข้างต้น

จึงมีความเห็นว่า การขออนุญาตก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารอยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่กำหนดว่า ต้องมีที่ว่างไม่น้อยกว่าร้อยละ ๓๐ ของที่ดิน ตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๔๔ นั้นมิชอบ เนื่องจากกรุงเทพมหานครออกข้อบัญญัติฯ เพิ่มเติมจากกฎกระทรวงฯ (โดยอ้างอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๐ (๑) แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ รายละเอียดเจตนารมย์การออกกฎหมาย ปรากฏตามหมายเหตุท้ายข้อบัญญัติฯ) แย้งกับกฎกระทรวงฯ  ดังนั้น เห็นว่า อาคารอยู่อาศัยที่ขออนุญาตก่อสร้างหรือดัดแปลงในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่ชอบนั้น ควรต้องมีที่ว่างไม่น้อยกว่าร้อยละ ๓๐ ของพื้นที่ชั้นใดชั้นหนึ่งที่มากที่สุดของอาคารตามกฎกระทรวงฉบับที่ ๕๕ (พ.ศ. ๒๕๔๓) กำหนด


GPJ archiman




[1] ที่ว่าง หมายความว่า พื้นที่อันปราศจากหลังคาหรือสิ่งก่อสร้างปกคลุม ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวอาจจะจัดให้เป็นบ่อน้ำ สระว่ายน้ำ บ่อพักน้ำเสีย ที่พักมูลฝอย ที่พักรวมมูลฝอย หรือที่จอดรถ ที่อยู่ภายนอกอาคารก็ได้ และให้หมายความรวมถึงพื้นที่ของสิ่งก่อสร้าง หรืออาคารที่สูงจากระดับพื้นดินไม่เกิน ๑.๒๐ เมตร และไม่มีหลังคาหรือสิ่งก่อสร้างปกคลุมเหนือระดับนั้น
[2] อาคารอยู่อาศัย หมายความว่า อาคารซึ่งโดยปกติบุคคลใช้อยู่อาศัยได้ทั้งกลางวันและกลางคืนไม่ว่าจะเป็นการอยู่อาศัยอย่างถาวรหรือชั่วคราว
[3] อาคารอยู่อาศัยรวม หมายความว่า อาคารหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของอาคารที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยสำหรับหลายครอบครัว โดยแบ่งออกเป็นหน่วยแยกจากกันสำหรับแต่ละครอบครัว
[4] ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๔๔
ฯลฯ                                                         ฯลฯ
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้ข้อบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ได้บังคับใช้มาเป็นเวลากว่า ๒๐ ปี สมควรแก้ไขปรับปรุงบทบัญญัติบางประการให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ประกอบกับได้มีการประกาศใช้กฎกระทรวงที่ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ และพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ หลายฉบับ ซึ่งกฎกระทรวงต่าง ๆ ดังกล่าวมีรายละเอียดบางประการไม่ครอบคลุมกับสภาพข้อเท็จจริงในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สมควรเพิ่มเติมรายละเอียดบทบัญญัติบางประการเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพบ้านเมืองของกรุงเทพมหานคร และโดยที่มาตรา ๙ และมาตรา ๑๐ (๑) แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๑ มาตรา ๓๕ มาตรา ๔๘ มาตรา ๔๙ และมาตรา ๕๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ประกอบกับมาตรา ๙๗ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ บัญญัติให้ตราเป็นข้อบัญญัติจึงจำเป็นต้องตราข้อบัญญัตินี้ 

วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เรื่องที่ ๔ สำนักงานไม่ใช่อาคารสาธารณะ

กฎหมายควบคุมอาคาร เป็นกฎหมายเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล การบังคับใช้กฎหมายที่ส่งผลกระทบแก่บุคคล หน่วยงานทางปกครองต้องใช้อย่างจำกัดและตีความตัวบทในกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยควบคุมการใช้ดุลพินิจมิให้เป็นไปอย่างอำเภอใจ

วันนี้จะขอกล่าวถึงอาคารประเภท สำนักงาน ซึ่งตามความรู้สึกวิญญูชนทั่วไป ย่อมคิดว่าน่าจะเป็นอาคารประเภทสาธารณะ เพราะสำนักงานโดยปกติย่อมต้องมีการดำเนินธุระกรรมเป็นการทั่วไป; 
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้นิยามคำว่าสาธารณะว่า “ทั่วไป”

ในการนี้ เพื่อประโยชน์แก่ผู้เกี่ยวข้องด้านการออกแบบอาคารซึ่งโดยหลัก คือ สถาปนิก ผู้อาจได้รับผลกระทบ เช่น เจ้าของอาคาร และผู้บังคับใช้กฎหมายอย่าง เจ้าพนักงานท้องถิ่น นายช่าง และนายตรวจอาคาร จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องค้นหาความหมายของคำเฉพาะในกฎหมายเพื่อเป็นแนวทางในการวินิจฉัยให้สอดคล้องต้องกัน
สมมุติว่ามีที่ดินแปลงหนึ่งขนาด ๑๐๐ ตารางวา หน้ากว้าง ๒๐.๐๐ เมตร ลึก ๒๐.๐๐ เมตร บริเวณซอยซึ่งเป็นถนนสาธารณะกว้าง ๘ เมตร และเจ้าของที่ดินมีความประสงค์จะทำการขออนุญาตก่อสร้างอาคารประเภทสำนักงาน เราลองพิจารณากันว่าถ้าจะออกแบบสำนักงานสักอาคารหนึ่งในที่ดินแปลงนี้จะมีข้อจำกัดประการใดบ้าง

กฎกระทรวง ฉบับที่ ๕๕ (พ.ศ. ๒๕๔๓) ข้อ ๔๑ วรรค ๒ กำหนดว่า:- 
อาคารที่สูงเกินสองชั้นหรือเกิน ๘ เมตร ห้องแถว ตึกแถว บ้านแถว อาคารพาณิชย์ โรงงาน อาคารสาธารณะ ป้ายหรือสิ่งที่สร้างขึ้นสำหรับติดหรือตั้งป้ายหรือคลังสินค้า ที่ก่อสร้างหรือดัดแปลงใกล้ถนนสาธารณะ (๑) ถ้าถนนสาธารณะนั้นมีความกว้างน้อยกว่า ๑๐ เมตร ให้ร่นแนวอาคารห่างจากกึ่งกลางถนนสาธารณะอย่างน้อย ๖ เมตร

ประเด็นพิจารณา คือ อาคารสำนักงานซึ่งก่อสร้างใกล้ถนนสาธารณะกว้าง ๘ เมตร จะต้องร่นแนวอาคารห่างจากกึ่งกลางถนนสาธารณะอย่างน้อย ๖ เมตร หรือไม่?

พิจารณาจากตัวบทข้อ ๔๑ วรรค ๒ แล้วจะเห็นได้ว่า กฎหมายกำหนดประเภทอาคารไว้ ๙ ประเภท ที่จะต้องร่นแนวอาคาร ดังนี้
๑) อาคารที่สูงเกินสองชั้นหรือเกิน ๘ เมตร ๒) ห้องแถว ๓) ตึกแถว ๔) บ้านแถว ๕) อาคารพาณิชย์ ๖) โรงงาน ๗) อาคารสาธารณะ ๘) ป้ายหรือสิ่งที่สร้างขึ้นสำหรับติดหรือตั้งป้าย  ๙) คลังสินค้า

จะเห็นว่ากฎหมายมิได้ระบุอาคารประเภทสำนักงานไว้แต่อย่างใด จึงมีประเด็นต้องพิจารณาต่อไปว่าสำนักงานจะเข้าข่ายเป็นอาคารประเภทอาคารสาธารณะหรือไม่

กฎกระทรวง ฉบับที่ ๕๕ (พ.ศ. ๒๕๔๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ข้อ ๑ กำหนดว่า:-
อาคารสาธารณะ” หมายความว่า อาคารที่ใช้เพื่อประโยชน์ในการชุมนุมคนได้โดยทั่วไปเพื่อกิจกรรมทางราชการ การเมือง การศึกษา การศาสนา การสังคม การนันทนาการ หรือการพาณิชยกรรม เช่น โรงมหรสพ หอประชุม โรงแรม โรงพยาบาล สถานศึกษา หอสมุด สนามกีฬากลางแจ้ง สนามกีฬาในร่ม ตลาด ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า สถานบริการ ท่าอากาศยาน อุโมงค์ สะพาน อาคารจอดรถ สถานีรถ ท่าจอดเรือ โป๊ะจอดเรือ สุสาน ฌาปนสถาน ศาสนสถาน เป็นต้น

องค์ประกอบของอาคารสาธารณะ คือ
๑) เป็นอาคาร  ๒) ที่ใช้เพื่อประโยชน์ในการชุมนุมคน ๓) ได้โดยทั่วไป ๔) เพื่อกิจกรรมทางราชการ การเมือง การศึกษา การศาสนา การสังคม การนันทนาการ หรือการพาณิชยกรรม เช่น โรงมหรสพ หอประชุม โรงแรม โรงพยาบาล สถานศึกษา หอสมุด สนามกีฬากลางแจ้ง สนามกีฬาในร่ม ตลาด ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า สถานบริการ ท่าอากาศยาน อุโมงค์ สะพาน อาคารจอดรถ สถานีรถ ท่าจอดเรือ โป๊ะจอดเรือ สุสาน ฌาปนสถาน ศาสนสถาน เป็นต้น

จะเห็นได้ว่า องค์ประกอบสำคัญของอาคารสาธารณะ คือ ต้องเป็นอาคารที่มีลักษณะที่ใช้ประโยชน์ในการ ชุมนุมคน และต้องชุมนุม ได้โดยทั่วไป รวมทั้งสำหรับเพื่อกิจกรรมทางราชการ การเมือง การศึกษา การศาสนา การสังคม การนันทนาการ หรือการพาณิชยกรรม เท่านั้น อาคารชุมนุมคนกฎหมายควบคุมอาคารกำหนดนิยามกำกับไว้เป็นการเฉพาะในมาตรา ๔ จึงตีความด้วยคำสามัญมิได้ต้องตีความอย่างเคร่งครัดตามที่มีบัญญัตินิยามไว้ในกฎหมาย

พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๔ บัญญัติว่า:-

อาคารชุมนุมคน หมายความถึง อาคารหรือส่วนใดของอาคารที่บุคคลอาจเข้าไปภายในเพื่อประโยชน์ในการชุมนุมคนที่มีพื้นที่ตั้งแต่หนึ่งพันตารางเมตรขึ้นไป หรือชุมนุมคนได้ตั้งแต่ห้าร้อยคนขึ้นไป

องค์ประกอบของอาคารชุมนุมคน คือ
๑) เป็นอาคาร ๒) หรือส่วนใดของอาคาร ๓) ที่บุคคลอาจเข้าไปภายใน ๔) เพื่อประโยชน์ในการชุมนุมคน ๕) ที่มีพื้นที่ตั้งแต่หนึ่งพันตารางเมตรขึ้นไป ๖) หรือชุมนุมคนได้ตั้งแต่ห้าร้อยคนขึ้นไป

กฎกระทรวง ฉบับที่ ๕๕ ให้นิยามคำว่า 
สำนักงาน หมายความว่า อาคารหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของอาคารที่ใช้เป็นสำนักงานหรือที่ทำการ; โดยพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ อธิบายความไว้ว่า:- สำนัก หมายถึง ที่อยู่อาศัย, ที่ทำการ; สำนักงาน หมายถึง สถานที่ทำการของรัฐวิสาหกิจ หรือบริษัทห้างร้าน เป็นต้น

เมื่อประมวลข้อเท็จจริงต่าง ๆ โดยรอบด้านแล้ว จึงสรุปได้ว่า สำนักงานอาจมีลักษณะเป็นอาคารเพื่อกิจกรรมทางราชการกรณีสถานที่ทำการของรัฐวิสาหกิจ หรือการพาณิชยกรรมกรณีสถานที่ทำการของบริษัทห้างร้าน ตามความหมายในกฎกระทรวงฯ ประกอบกับพจนานุกรมฯ ที่อ้างถึงข้างต้น แต่อย่างไรก็ตาม การจะเข้าองค์ประกอบเป็นอาคารชุมนุมคนได้นั้น องค์ประกอบประการสำคัญ อาคารนั้น “ต้องมีพื้นที่ตั้งแต่หนึ่งพันตารางเมตรขึ้นไป หรือชุมนุมคนได้ตั้งแต่ห้าร้อยคนขึ้นไป” ตามบทนิยามคำว่า “อาคารชุมนุมคน” แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคารฯ มาตรา ๔

กล่าวโดยสรุป

อาศัยข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงที่บรรยายมา จึงมีความเห็นว่า สำนักงาน โดยทั่วไป ไม่มีลักษณะชุมนุมคน แต่เป็นสถานที่ส่วนบุคคลที่บุคคลอาจเข้าออกได้เฉพาะกิจหรือโดยวิสาสะ ซึ่งเจ้าของอาคารย่อมหวงกันได้เสมอตราบที่ถือกรรมสิทธิ์ ดังนั้น สำนักงานจึงไม่เป็นอาคารสาธารณะโดยสภาพ ทั้งนี้ สำนักงานอาจเข้าข่ายเป็นอาคารสาธารณะได้กรณีมีพื้นที่ตั้งแต่หนึ่งพันตารางเมตรขึ้นไป หรือชุมนุมคนได้ตั้งแต่ห้าร้อยคนขึ้นไป

ดังนั้น เมื่อสำนักงานไม่เข้าข่ายเป็นอาคารสาธารณะด้วยเงื่อนไขด้านพื้นที่หรือจำนวนคน และเป็นอาคารที่สูงไม่เกินสองชั้นหรือไม่เกิน ๘ เมตร การก่อสร้างหรือดัดแปลงใกล้ถนนสาธารณะกว้าง ๘ เมตรดังอุทาหรณ์ แม้จะเข้าเงื่อนไขก่อสร้างอาคารใกล้ถนนสาธารณะซึ่งมีความกว้างน้อยกว่า ๑๐ เมตร ก็ไม่ต้องร่นแนวอาคารห่างจากกึ่งกลางถนนสาธารณะอย่างน้อย ๖ เมตรแต่อย่างใด ส่วนประเด็นเรื่องที่ว่างของอาคารนั้นเป็นอีกประเด็นหนึ่ง


GPJ archiman 

วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เรื่องที่ ๓ อาคารประเภทไม่ควบคุมการใช้ : เจ้าพนักงานท้องถิ่นไม่มีอำนาจตรวจแบบแปลนภายในอาคารที่สถาปนิกรับรองการออกแบบ

ย่ำค่ำวันหนึ่ง กลุ่มเพื่อนสถาปนิกสังสรรค์ร่ำสุราฮาเฮ เดือนดาวพร่างพราวเต็มฟ้า โบราณว่า “ผืนฟ้ายิ่งมืดมิดดารายิ่งงดงาม”

บทสนทนาในวันนั้นมีประเด็นน่าสนใจประเด็นหนึ่งคือ สาเหตุแห่งความล่าช้าในการพิจารณาอนุญาตก่อสร้างอาคาร ซึ่งสาเหตุแห่งความล่าช้าพอพิเคราะห์ได้ ๓ ประการ ดังจะกล่าวต่อไปนี้

๑ การใช้ดุลพินิจเกินขอบเขตที่กฎหมายให้อำนาจ
๒ การตีความกฎหมายตามอำเภอใจ
๓ การทุจริตประพฤติมิชอบ

ชาวบ้านธรรมดาสามัญสักผู้หนึ่งหวังสร้างแหล่งพักพิงสักหนึ่งหลังเป็นเรื่องมิใช่ง่าย และสิ่งโหดร้ายที่เขาจะต้องพบเจอประการหนึ่งในหลาย ๆ ประการ คือ ความล่าช้าในการพิจารณาอนุญาตจากหน่วยงานรัฐ ซึ่งมีหน้าที่โดยแท้คือการให้บริการเพื่อ "บำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ประชาชน"

ลองพิจารณามาตรา ๒๘ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๓ ที่บัญญัติว่า 
ในกรณีที่แบบแปลน รายการประกอบแบบแปลน และรายละเอียดด้านสถาปัตยกรรมของอาคารซึ่งไม่เป็นอาคารประเภทควบคุมการใช้ที่ได้ยื่นมาพร้อมกับคำขอรับใบอนุญาตกระทำโดยผู้ที่ได้รับใบอนุญาตให้เป็นผู้ประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมควบคุมตามกฎหมายว่าด้วยสถาปนิก ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นตรวจพิจารณาแต่เฉพาะในส่วนที่ไม่เกี่ยวกับรายละเอียดด้านสถาปัตยกรรมส่วนภายในอาคาร เว้นแต่ทางหนีไฟและบันไดหนีไฟ
แยกองค์ประกอบได้ดังต่อไปนี้

๑) ในกรณีที่
๑.๑ แบบแปลน ๑.๒ รายการประกอบแบบแปลน ๑.๓ และรายละเอียดด้านสถาปัตยกรรม
๒) ของอาคาร
๓) ซึ่งไม่เป็นอาคารประเภทควบคุมการใช้
๔) ที่ได้ยื่นมาพร้อมกับคำขอรับใบอนุญาต
๕) กระทำโดยผู้ที่ได้รับใบอนุญาตให้เป็นผู้ประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมควบคุมตามกฎหมายว่าด้วยสถาปนิก
๖) ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่น
๗) ตรวจพิจารณา
๘) แต่เฉพาะในส่วนที่ไม่เกี่ยวกับรายละเอียดด้านสถาปัตยกรรม
๙) ส่วนภายในอาคาร
๑๐) เว้นแต่ทางหนีไฟและบันไดหนีไฟ

ก่อนอื่นต้องเข้าใจเจตนารมณ์และแนวคิดของกฎหมายก่อน พิจารณาแล้วเห็นว่า กฎหมายควบคุมอาคารแบ่งประเภทอาคารออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ ๆ คือ

๑ อาคารประเภทควบคุมการใช้
๒ อาคารประเภทไม่ควบคุมการใช้

อาคารประเภทควบคุมการใช้ถูกบัญญัติไว้ใน มาตรา ๓๒ ดังนี้ 
(๑) อาคารสำหรับใช้เป็นคลังสินค้า โรงแรม อาคารชุด หรือสถานพยาบาล (๒) อาคารสำหรับใช้เพื่อกิจการพาณิชยกรรม อุตสาหกรรม การศึกษา การสาธารณสุข หรือกิจการอื่น ทั้งนี้ ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง (กฎกระทรวงกำหนดอาคารประเภทควบคุมการใช้ พ.ศ. ๒๕๕๒)
และอาคารประเภทที่เข้าข่ายตามมาตรา ๓๒ นี้เท่านั้นที่กฎหมายมุ่งควบคุมการใช้ อาคารนอกจากนี้ เป็นอาคารประเภทไม่ควบคุมการใช้ ซึ่งพิจารณาจากตัวบทกฎหมายแล้วย่อมเล็งเห็นได้ว่ากฎหมายไม่มุ่งหมายจะควบคุม โดยเฉพาะในขั้นตอนการขออนุญาตก่อสร้างหรือแจ้งตามมาตรา ๓๙ ทวิ แต่อย่างไรก็ตามอาคารดังกล่าวต้องมีสถาปนิกผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมควบคุมรับรองการออกแบบชั้นหนึ่งเสียก่อน

อาศัยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายดังกล่าวข้างต้น จึงมีความเห็นว่า 
กรณีแบบแปลน รายการประกอบแบบแปลน และรายละเอียดด้านสถาปัตยกรรมของอาคารซึ่งไม่เป็นอาคารประเภทควบคุมการใช้ที่ได้ยื่นมาพร้อมกับคำขอรับใบอนุญาตกระทำโดยผู้ที่ได้รับใบอนุญาตให้เป็นผู้ประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมควบคุมตามกฎหมายว่าด้วยสถาปนิกแล้ว แม้รายละเอียดด้านสถาปัตยกรรมส่วนภายในอาคาร เว้นแต่ทางหนีไฟและบันไดหนีไฟ เช่น ขนาดห้องนอน ทางเดิน ความสูงของอาคาร ฯลฯ จะมีส่วนขัดต่อกฎกระทรวงหรือข้อบัญญัติท้องถิ่นซึ่งออกตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารฯ ก็ตาม เจ้าพนักงานท้องถิ่นก็ไม่มีอำนาจพิจารณาในส่วนนั้นแต่อย่างใด เนื่องจากกฎหมายมิได้ให้อำนาจไว้ ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นมักจะพิจารณาออกคำสั่งให้ผู้ยื่นคำขออนุญาตก่อสร้างอาคารในกรณีที่แบบแปลน รายการประกอบแบบแปลน และรายละเอียดด้านสถาปัตยกรรมของอาคารซึ่งไม่เป็นอาคารประเภทควบคุมการใช้ที่ได้ยื่นมาพร้อมกับคำขอรับใบอนุญาตกระทำโดยผู้ที่ได้รับใบอนุญาตให้เป็นผู้ประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมควบคุมตามกฎหมายว่าด้วยสถาปนิกแก้ไขรายละเอียดด้านสถาปัตยกรรมส่วนภายในอาคาร เว้นแต่ทางหนีไฟและบันไดหนีไฟ เช่น ขนาดห้องนอน ทางเดิน ความสูงของอาคาร ฯลฯ จึงอาจมิชอบด้วยกฎหมายขัดต่อบทบัญญัติตามมาตรา ๒๘ ทวิฯ อันเป็นบทเฉพาะของกฎหมายควบคุมอาคาร เป็นการใช้ดุลพินิจใช้อำนาจตามอำเภอใจ สร้างภาระแก่ประชาชนเกินจำเป็น เป็นเหตุให้การพิจารณาอนุญาตล่าช้า เกิดช่องทางให้เจ้าหน้าที่ทุจริตประพฤติมิชอบ
และเนื่องจากพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๑๘ บัญญัติว่า 
ให้คณะกรรมการควบคุมอาคารมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (๓) ให้คำปรึกษาแนะนำแก่เจ้าพนักงานท้องถิ่นหรือส่วนราชการในการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ (๔) กำกับดูแลและตรวจสอบการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานท้องถิ่นและผู้ซึ่งมีหน้าที่ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
จึงมีข้อเสนอแนะ ดังนี้
เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการปฏิบัติราชการและชอบด้วยกฎหมาย ลดปัญหาการพิจารณาอนุญาตล่าช้า บรรเทาปัญหาการทุจริต อำนวยความสะดวกแก่ประชาชน คณะกรรมการควบคุมอาคารซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการให้คำปรึกษาแนะนำแก่เจ้าพนักงานท้องถิ่นหรือส่วนราชการ และกำกับดูแลและตรวจสอบการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานท้องถิ่นและผู้ซึ่งมีหน้าที่ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร สมควรกำหนดแนวทางปฏิบัติกรณีมาตรา ๒๘ ทวิฯ ไปยังราชการส่วนท้องถิ่นเพื่อถือปฏิบัติต่อไป


GPJ archiman


วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เรื่องที่ ๒ แนวอาคารอยู่ตรงไหน?

“วิชาฆ่ามังกรอาจจะมีอยู่จริง แต่ในโลกนี้จะมีมังกรให้ฆ่าสักกี่ตัวเล่า จับปูจับปลาเป็นก็พอเลี้ยงปากแล้ว”


วันก่อนตอนบ่าย ๆ กำลังง่วง ๆ งัวเงีย ๆ กะว่าจะงีบสักหน่อย ปรากฏว่ารุ่นน้องสถาปนิกรับงานออกแบบอพาร์ทเม้นท์ ๓ ชั้นมาหลังหนึ่ง หนีบแบบร่างแวะมาปรึกษาที่สำนักงาน ข้อมูลเบื้องต้นเท่าที่เกริ่นให้ฟัง คือ แปลงที่ดินที่จะทำการออกแบบโครงการนี้ ติดถนนสาธารณะกว้าง ๕ เมตร เนื่องจากที่ดินมีขนาดจำกัดมาก เจ้าของจึงอยากให้สถาปนิกออกแบบประโยชน์ใช้สอยของอาคารอย่างคุ้มค่าที่สุด และที่สำคัญต้องการชายคายื่นออกมาบังแสงแดดมากสักหน่อย จะได้ใช้ร่มเงาจากชายคาทอดสู่ตัวอาคารเพื่อลดความร้อน รวมทั้ง อยากได้ระเบียงกว้าง ๆ เพื่อไว้นั่งพักผ่อนกินลมชมวิว ภาระก็ตกหนักที่สถาปนิกผู้ออกแบบสิครับ จะออกแบบยังงัยให้เจ้าของเงินพึงพอใจและเป็นไปตามกฎหมาย เนื่องจาก น้องสถาปนิกอ่านกฎหมายแล้วมีความสงสัยถ้อยคำในกฎหมายอยู่คำหนึ่ง คำนั้นคือ คำว่า “แนวอาคาร” สงสัยว่าแนวอาคารอยู่ตรงไหนหนอ? เปิดตัวบทหานิยามแล้วก็ไม่มีกล่าวไว้แต่อย่างใด

ผมชำเลืองมองแลดูแบบร่างคร่าว ๆ ที่หนีบมาพลิกซ้ายพลิกขวาแล้วก็นึกสงสาร จะว่าไป กฎหมายควบคุมอาคารมีการกำหนดนิยามศัพท์มากมาย แต่คำสำคัญคำหนึ่งมิได้กำหนดนิยามไว้ และคำ ๆ นั้นก็มีความสำคัญต่อการออกแบบอาคารมากที่สุดคำหนึ่ง คำนั้นคือคำว่า “แนวอาคาร”

กฎกระทรวง ฉบับที่ ๕๕ (พ.ศ. ๒๕๔๓) ออกตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ข้อ ๔๑ วรรคสอง กำหนดว่า:- 
“อาคารที่สูงเกินสองชั้นหรือเกิน ๘ เมตร ห้องแถว ตึกแถว บ้านแถว อาคารพาณิชย์ โรงงาน อาคารสาธารณะ ป้ายหรือสิ่งที่สร้างขึ้นสำหรับติดหรือตั้งป้ายหรือคลังสินค้า ที่ก่อสร้างหรือดัดแปลงใกล้ถนนสาธารณะ (๑) ถ้าถนนสาธารณะนั้นมีความกว้างน้อยกว่า ๑๐ เมตร ให้ร่นแนวอาคารห่างจากกึ่งกลางถนนสาธารณะอย่างน้อย ๖ เมตร”
ผมบอกเรื่องนี้ไม่ยาก เพราะเรื่องที่สงสัย เคยมีคนสงสัยมามากแล้ว และคณะกรรมการควบคุมอาคารเคยให้แนวทางวินิจฉัยไว้เรียบร้อย ดังต่อไปนี้
แนวอาคาร หมายถึง แนวเสาหรือแนวผนังที่อยู่ด้านนอกสุดของอาคาร โดยแนวกันสาด แนวชายคาและแนวระเบียงไม่ถือว่าเป็นแนวอาคาร แนวรั้วและพื้นทางเดินภายนอกอาคารจึงไม่ใช่แนวอาคาร (หนังสือที่ มท ๐๗๑๐/๑๐๐๑๔ ลงวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๖ : รวมข้อหารือฯ ๒๕๕๖ น.๒๒)
ตามนัยที่คณะกรรมการควบคุมอาคารวินิจฉัยไว้ ย่อมแปลความได้ว่า
กรณีผู้ใดประสงค์จะก่อสร้างอาคารที่สูงเกินสองชั้นหรือเกิน ๘ เมตรใกล้ถนนสาธารณะที่มีความกว้างน้อยกว่า ๑๐ เมตร บริเวณระยะร่นแนวอาคารซึ่งห่างจากกึ่งกลางถนนสาธารณะอย่างน้อย ๖ เมตรตามที่กฎหมายกำหนด ย่อมสามารถก่อสร้าง “กันสาด ชายคา ระเบียง รั้ว หรือทางเดินภายนอกอาคาร” ได้ เนื่องจากองค์ประกอบอาคารดังกล่าวมิใช่แนวอาคารแต่อย่างใด
คราวนี้น้องสถาปนิกมีความสงสัยต่อไปว่า แล้วห้องพักขยะ หรือสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ ที่บุคคลไม่สามารถเข้าไปใช้สอยได้ เช่น ห้องเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองภายนอกอาคาร ห้องปั๊ม (Pump room) จะถือเป็นอาคารซึ่งต้องจัดให้มีระยะร่นของแนวอาคารด้วยหรือไม่

ประเด็นนี้ คณะกรรมการควบคุมอาคารให้แนวทางวินิจฉัยว่า:-
"กรณี ห้องพักขยะ หรือสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ เช่น ห้องเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองภายนอกอาคาร ห้องปั๊ม (Pump room) หากบุคคลอาจเข้าใช้สอยได้ก็จะเข้าข่ายเป็นอาคาร ซึ่งการก่อสร้างหรือดัดแปลงใกล้ถนนสาธารณะต้องร่นแนวอาคาร" (หนังสือที่ มท ๐๗๑๐/๐๔๘๗ ลงวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๑ : รวมข้อหารือฯ ๒๕๕๑ น.๑๑)
น้องสถาปนิกยังสงสัยไม่จบจึงเอ่ยปากขอถามคำถามอีกสักข้อ

เอ๊ะอัยนี่สงสัยเยอะจริง เอ้าว่ามา สงสัยอะไรอีก ผมอยากจะงีบเต็มแก่
แล้วป้อมยามล่ะ ป้อมยาม จะก่อสร้างติดกับรั้วหรือใช้รั้วที่ติดถนนสาธารณะเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างป้อมยามเสียเลยจะได้ไหม?
ผมเอียงคอค่อย ๆ ตอบไปเบา ๆ ว่า เรื่องป้อมยามนี่ชัดเจน คือ 
ป้อมยามทำไว้ก็เพื่อให้ยามใช้สอยนั่งเฝ้าเวรยาม ยามเป็นคน เมื่อคนเข้าใช้สอยสิ่งก่อสร้างได้ สิ่งก่อสร้างนั้นก็เข้าข่ายเป็นอาคารมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ อย่างแน่นอน และเมื่อเข้าข่ายเป็นอาคารแล้ว การก่อสร้างใกล้ถนนสาธารณะย่อมต้องร่นแนวอาคารห่างจากถนนสาธารณะไม่สามารถก่อสร้างติดกับรั้วหรือใช้รั้วเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างได้

น้องสถาปนิกได้รับคำตอบจนเป็นที่พอใจ ผมก็ได้เวลานอนกลางวัน สวัสดี


GPJ archiman




วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เรื่องที่ ๑ การซื้อที่ดินติดคลองสาธารณะ

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมเริ่มเขียนบทความใน Blog นี้ กล่าวถึงตัวผมก่อน ผมประกอบอาชีพเป็นสถาปนิก ประจำอยู่ราชการส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ ชื่อ กรุงเทพมหานคร ดังนั้น เรื่องราวที่ผมจะบอกกล่าวเล่าความให้รับฟังต่อไปก็จะเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง งานสถาปัตยกรรม กฎหมายควบคุมอาคาร กรุงเทพมหานครเมืองหลวงของเรา และเรื่องราวรอบ ๆ ตัวผมเสียเป็นส่วนมาก เป็นข้อคิด ความเห็น ข้อสังเกต คิดเสียว่าเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ เพื่อประโยชน์แก่ผู้ประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมและประชาชนโดยทั่วไปที่มีความสนใจ

ในชั้นต้น เรามาทำความรู้จักกับคำว่าสถาปนิกกันก่อน
สถาปนิก ภาษาอังกฤษว่า “Architect” แรกเริ่มเดิมทีมาจากคำว่า “สถาปก” ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานให้ไว้ ทั้งนี้ รากศัพท์เดิมแท้ มาจากภาษาสันสกฤต หมายถึง ผู้สร้าง, ผู้ก่อตั้ง อย่างไรก็ตาม ในเอกสารโบราณก่อนยุครัตนโกสินทร์เคยปรากฏคำว่า “สถาบก” ซึ่งหมายถึง การสร้าง หรือผู้สร้างมาก่อนแล้ว (อ้างอิงจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี)
เมื่อรู้ที่มาและความหมายคร่าว ๆ ของคำว่าสถาปนิกและความเป็นมาของตัวผมแล้ว ก็มาเริ่มเรื่องกันเลย

ในเช้าวันหนึ่ง ขณะผมกำลังจิบชายอดน้ำค้างกลิ่นหอมละมุน ลุงแช่มเศรษฐีที่ดินในพื้นที่แวะมาขอคำปรึกษาที่สำนักงาน ลุงแช่มเล่าว่า มีคนรู้จักกันเดือดร้อนบอกขายที่ดินแปลงสวยริมคลองในราคาไม่แพงนักหากเทียบกับราคาท้องตลาดที่ชาวบ้านระแวกนั้นซื้อขายกัน ลุงแช่มอยากช่วยรับซื้อไว้แต่ไม่รู้จะทำประโยชน์อะไรได้บ้าง
ลุงแช่มให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า ที่ดินแปลงนี้มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด ๕๐ ตารางวา ลึก ๘ เมตร ยาว ๒๕ เมตร ด้านหน้าติดถนนคอนกรีตสาธารณะขนาดความกว้าง ๔ เมตร ด้านหลังติดคลองสาธารณะน้ำใสสะอาดขนาดความกว้าง ๑๒ เมตร
อืมมมมมมมมม เบื้องต้น โดยรวม ๆ เท่าที่ได้ฟัง ที่ดินแปลงนี้สวยดีทีเดียว ผมบอกกับลุงแช่ม 

งั้นเรามาดูข้อกฎหมายกันว่าจะสร้างอะไรได้บ้าง เอาง่าย ๆ ก่อนก็แล้วกัน ว่า ถ้าจะสร้างบ้านไว้อยู่อาศัยสักหลังหนึ่งน่ะจะสร้างได้ไหม

อันดับแรก ผมเปิดข้อกฎหมายให้ลุงแช่มดู กฎกระทรวง ฉบับที่ ๕๕ (พ.ศ. ๒๕๔๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ข้อ ๔๑ วรรคหนี่ง กำหนดว่า 
อาคารที่ก่อสร้างหรือดัดแปลงใกล้ถนนสาธารณะที่มีความกว้างน้อยกว่า ๖ เมตร ให้ร่นแนวอาคารห่างจากกึ่งกลางถนนสาธารณะอย่างน้อย ๓ เมตร
เมื่อถนนหน้าแปลงที่ดินกว้าง ๔ เมตร ระยะจากกึ่งกลางถนนถึงแนวเขตที่ดินจึงเท่ากับ ๒ เมตร ทั้งนี้ กฎหมายให้ร่นแนวอาคารห่างจากกึ่งกลางถนนสาธารณะอย่างน้อย ๓ เมตร ดังนั้น ด้านติดถนนสาธารณะลุงแช่มจึงต้องร่นแนวอาคารจากแนวเขตที่ดินเข้ามาในที่ดินอย่างน้อย ๑ เมตร

อันดับต่อมา คราวนี้มาดูระยะร่นด้านติดคลองสาธารณะบ้างว่ากฎหมายกำหนดไว้อย่างไร ในกฎกระทรวงฉบับเดิม ข้อ ๔๒ วรรคหนึ่ง กำหนดว่า 
อาคารที่ก่อสร้างหรือดัดแปลงใกล้แหล่งน้ำสาธารณะ เช่น แม่น้ำ คู คลอง ลำรางหรือลำกระโดง ถ้าแหล่งน้ำสาธารณะนั้นมีความกว้างน้อยกว่า ๑๐ เมตร ต้องร่นแนวอาคารให้ห่างจากเขตแหล่งน้ำสาธารณะนั้นไม่น้อยกว่า ๓ เมตร แต่ถ้าแหล่งน้ำสาธารณะนั้นมีความกว้างตั้งแต่ ๑๐ เมตรขึ้นไป ต้องร่นแนวอาคารให้ห่างจากเขตแหล่งน้ำสาธารณะนั้นไม่น้อยกว่า ๖ เมตร
เมื่อที่ดินแปลงนี้ติดคลองสาธารณะกว้าง ๑๒ เมตร ลุงแช่มจึงต้องร่นแนวอาคารห่างจากเขตคลองซึ่งเป็นเขตแหล่งน้ำสาธารณะไม่น้อยกว่า ๖ เมตร
ข้อเท็จจริง ที่ดินแปลงนี้ลึก ๘ เมตร เมื่อหักระยะร่นด้านติดถนนสาธารณะเข้ามาในที่ดินเสีย ๑ เมตร และหักด้านติดคลองสาธารณะเสียอีก ๖ เมตร รวมเป็น ๗ เมตร จึงเหลือระยะให้สร้างอาคารตามความลึกที่ดินได้เพียง ๑ เมตรเท่านั้น ประกอบกับกฎหมายกำหนดไว้อีกว่าห้องนอนในอาคารให้มีความกว้างด้านแคบที่สุดไม่น้อยกว่า ๒.๕๐ เมตร ดังนั้น ที่ดินแปลงนี้หากซื้อมา ตามกฎหมายแล้วคิดสร้างบ้านไว้พักอาศัยสักหลังหนึ่งก็ยังมิได้เลย




ผมจึงได้แต่บอกลุงแช่มไปว่า จะซื้อหรือไม่ซื้อคุณลุงคงต้องใช้ดุลพินิจพิจารณาด้วยตัวเอง

ลุงแช่มทำหน้าหงอย ๆ คงนึกเสียดาย เพราะดูท่ายังงัยก็อยากได้ที่ดินแปลงนี้ไว้ครอบครอง เนื่องจากใกล้ ๆ ที่ดินแปลงนี้ บังเอิญลุงแช่มแกมีห้องเช่าอยู่หลายห้อง ลุงแช่มจึงถามต่อว่า แล้วมันพอจะมีช่องทางซื้อมาทำประโยชน์อะไรได้บ้างไหม

ผมจึงแนะนำลุงแช่มไปว่า เอาง่าย ๆ เลยนะ ลุงซื้อมาจัดสวนปลูกต้นไม้ปลูกผักปลูกหญ้าไว้พักผ่อนริมคลองอันนี้กฎหมายไม่ห้าม ลุงแช่มท้วงว่า มันออกจะไม่คุ้มเงินนา ฮา

ผมใช้เวลาคิดนิดหนึ่ง เอายังงี้ลุง ในมุมมองของสถาปนิกผมจะแนะให้ ถ้าจะใช้ให้เกิดประโยชน์กับลุงที่สุด ตรงระยะร่นริมคลองนั้น ในกฎกระทรวง ข้อ ๔๒ ที่บอกกับลุงไว้ข้างต้น กฎหมายยังพอมีข้อยกเว้นไว้อยู่ในวรรคสามความว่า:-
ทั้งนี้ เว้นแต่ สะพาน เขื่อน รั้ว ท่อระบายน้ำ ท่าเรือ ป้าย อู่เรือ คานเรือ หรือที่ว่างที่ใช้เป็นที่จอดรถไม่ต้องร่นแนวอาคาร
พอเห็นช่องทางหรือยังลุง ลุงก็ซื้อมาทำเป็นที่จอดรถสำหรับให้ลูกค้าที่เขาเช่าห้องของลุงไว้จอดรถ แล้วปลูกต้นไม้ จัดสวนให้ร่มรื่นสักหน่อยก็พอจะได้อยู่ เก็บค่าเช่าจอดรถสักเล็กน้อยคงจะมีกำไร หรือจะให้เช่าติดตั้งป้ายโฆษณาก็เข้าที

ลุงแช่มท่าทางพอใจ จึงยิ้มกลับไป เรื่องก็จบลงด้วยประการฉะนี้


GPJ archiman